สไลด์ด้านบน

รายวิชา ประวัติศาสตร์ รหัสวิชา ส22104 คุณครูผู้สอน คุณครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด

ข่าว

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

29.การวิเคราะห์เหตุการณ์ประวัติศาสตร์

การวิเคราะห์เหตุการณ์ประวัติศาสตร์
โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม

3.jpg
ไทย...เรายังไปไม่ถึงใหน!?
(ยาวครับ...เกิน7บันทัดแน่ๆ ขอบคุณที่อ่านจบ)
--------------------------------------------------------
........ในยุคที่สื่อสารกำลังก้าวหน้า เรียกโลกยุคนี้ว่า ดิจิตอล ระบบไร้สาย เร็ว แรง การติดต่อสื่อสารที่แสนจะรวดเร็ว ทั้งภาพและเสียง อยู่ไกลคนละซีกโลกก็คุยกัน เห็นหน้ากัน เหมือนอยู่ ใกล้ๆ กันแค่เดินถึง...นี่คือโลกที่เปลี่ยนโฉมหน้าด้วยสมาร์ทโฟน
.........อย่าลืม! ว่าเราใช้มือถือผ่านไปเมื่อไม่นานนี้เอง และกำลังจะ
ผ่านไป แทบจะไม่มีใครเหลือใช้โทรศัพท์มือถือกันแล้ว จะมีพอเห็นบ้างประปรายก็คนสูงวัย 50 upที่ยังยึดติดกับการรับโทรเข้าออก พอใจที่จะใช้รับและส่งเสียงไว้ใช้สื่อสารกันแค่นั้นจริงๆ
.........สมัยก่อน เราต้องส่งกันด้วยโทรเลข เพื่อต้องการส่งข้อ ความข้ามจังหวัดไกลๆ เพื่อแจ้งข่าว และส่วนใหญ่เวลาแกะซองโทรเลขออกอ่าน จะมีแต่เรื่องร้ายๆทั้งนั้น คือข่าวการเสียชีวิต
ของคนในครอบครัว การเจ็บป่วยหนักของใครบางคน หรือเรื่องสำคัญมากๆ
..........ภาระกิจการส่งโทรเลขเพื่อแจ้งข่าวร้ายปลายทางจึงดูเสมือนเป็นภารกิจของฮีโร่ยังไงไม่รู้ เพราะต้องด่วนและเร็ว ประมาณว่าต้องแจ้งข่าวที่รับผิดชอบ ไปให้ถึงไปรษณีย์ให้ได้
...........จากโทรเลข ก็มาเป็นโทรศัพท์ทางไกลที่มีค่าโทรโค-ตระแพงมาก ในการแจ้งข่าว ต้องรีบพูดรีบวางส่าย จะมามัวดราม่า หัวร่อต่อกระซิก ระริกระรี้กันไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นน้ำตาจะ
ร่วงหนักกว่าเมื่อเวลาเคลียร์บิล จากร้านเจ้าของโทรศัพท์ที่บวกค่าธรรมเนียมไว้อีกส่วน
............มาถึงยุคโทรศัพท์มือถือ เครื่องราคาเป็นแสน แบกกันตัวเอียง เครื่องหนักเป็นกิโล แต่คนมีก็ยอมเหนื่อย ยอมหนักที่จะถือโชว์ แสดงถึงฐานะมีอันจะกิน มันเหมือนเครื่องสนาม ไว้ใช้รบใน สมรภูมิมากกว่า เหมือนทหารสื่อสารวิทยุ
...........แต่เศรษฐียุคนั้นก็พอใจที่จะหิ้วไปหิ้วมา กลับไปบ้านคงต้องให้เมียช่วยนวดไหล่และแขนให้ มันหนักเป็นกิโลๆ โทรออกก็เสียเงิน สายเข้ารับก็เสียเงิน แต่เป็นอะไรที่เทห์และทันสมัยมาก ย้อนเวลาก็สมัยรัฐบาลพล.อ.ชาติชายเมื่อประมาณปี2530 นี่เอง
...........ผ่านมาอีกไม่นานก็เป็นการส่งข้อความผ่านทางเพจเจอร์ ตอนนั้นน่าจะมีอยู่เพียงสองค่ายที่แข่งขันกัน เป็นช่วงรอยต่อแคบๆไม่กี่ปีที่เพจเจอร์เข้ามามีบทบาทสำคัญของมนุษย์ พ.ศ.นั้น ที่ต้องพกพาตัวเพจเจอร์เหน็บเข็มขัดติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา เมื่อมีข้อ ความส่งมาถึง จะต้องวิ่งหาตู้โทรศัพท์เหมือนซูปเปอร์แมนหาตู้แปลงร่างก็มิปาน
...........รู้สึกว่ามันเป็นภาระ และเป็นกังวลที่จะต้องมีสิ่งนี้ เป็นตัวบังคับบัญชาเราอยู่ตลอดเวลา ไม่มีก็ไม่ได้ มันจำเป็นสำหรับคนทำงานออฟฟิศและนักธุรกิจทั่วไป
............จนกระทั่งวันที่โทรศัพท์มือถือเริ่มพัฒนาให้เล็กลงและมีฟังก์ชั่นการรับส่งข้อความในมือถือ เพจเจอร์ก็เลยพลอยตายมลายหายไปจากตลาดนั่นเอง
............แล้วเราก็มาสู่ยุคสมาร์ทโฟน ต่อจากยุคสมาร์ท โฟนนี้โลกจะเปลี่ยนเป็นอะไรต่อมิอะไรก็มิรู้ได้ แต่จะเห็นความรุ่งเรืองและล่มสลายของบริษัทผู้ผลิตสินค้าการสื่อสารเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปภายในไม่กี่ปี
............ใครจะไปรู้ว่า แอปเปิ้ล ซัมซุง ยักษ์ใหญ่สมาร์ทโฟนในพอ.ศอ.นี้อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็อาจจะหายไปจากโลกสื่อสารนี้ กลายเป็นตำนานเหมือนยี่ห้ออีริกสัน โนเกีย ก็เป็นไปได้
............แต่ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด การเมืองประเทศไทยก็ไม่เคยเปลี่ยน ยังวังวนกับการรัฐประหารกับฝ่ายการเมืองประชาธิปไตย
............เราเคยเป็นประเทศคู่ขนานกันมากับญี่ปุ่นภายหลังสง ครามโลกครั้งที่สอง ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นสบักสบอมจากนิวเคลียส์สองลูก ผ่านยุคเผด็จการทหาร บูชาองค์จักรพรรค์ มาเป็นประชาธิปไตยแข่งขันกันสองพรรคการเมือง
............เราเคยเป็นประเทศคู่ขนานกันมากับเกาหลี ภายหลังแตกออกเป็นสองประเทศภายใต้เส้นขนานที่38 แบ่งแยกพี่น้องกลายเป็นศึกสายเหลือดกิมจิจนทุกวันนี้
............ในขณะที่เกาหลีใต้ ภายใต้อิทธิพลอเมริกา ก็ล้มลุกคลุกฝุ่นกับการปั้นประเทศ เดี๊ยวเลือกตั้ง เดี๊ยวรัฐประหารแข่งกับไทยแลนด์แดนสยาม จนปัจจุบันเขามั่นคงในประชาธิปไตย กลายเป็นประเทศพัฒนาและส่งออกสินค้าและวัฒนธรรมไปทั่วโลก
............ช่วงที่เราได้ประชาธิปไตยมาครึ่งใบยุคเปรม และเกือบจะเต็มใบในยุคพล.อ.ชาติชาย ประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ก็มีการรัฐประหาร เป็นเผด็จการกันอยู่ทั้ง มาครอส แลซูฮาโต
............แต่ปัจจุบันทั้งสองประเทศเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์หมดแล้ว และก็กำลังเดินหน้าอย่างมั่นคง ไม่ต้องพูดถึงสิงคโปร์ และมาเลเซีย ทั้งสอง ประเทศก้าวเป็นประเทศพัฒนาและขั้นนำใน
เอเชียไปหมดแล้ว
............วันนี้ประเทศไทยกำลังวิ่งแข่งกับเขมร ลาว พม่าและเวียดนาม เรากำลังวิ่งแข่งในขณะที่การจัดอันดับเรื่องการศึกษาของเด็กไทยอยู่ในลำดับท้ายๆ ของอาเซี่ยน
.............เรากำลังวิ่งแข่งขณะที่ลาว เขมร เวียดนาม และพม่ามีกำลังเศรษฐกิจเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 6-7 gdp ส่วนประทศไทยคาดว่าจะไม่เกินไปกว่าปีละ 2-3 gdp
.............เรากำลังวิ่งแข่งกับเพิ่อนบ้านด้วยข้อจำกัด อัตราภาษีข้อยกเว้นการนำเข้าและส่งออก ที่เรียกกันว่ากำแพงภาษีที่สูงกว่า จากสินค้าที่ผลิตได้เหมือนๆ กันในภูมิภาคนี้
.............ถ้าให้วิ่งแข่งกันอย่างนี้ ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว อนาคตคงไม่ต้องทำนายว่าประเทศไทย ลูกหลานไทยจะเป็นเช้นใด?!
------------------------------------------------
.............คำถามมีอยู่ว่า ประเทศไทยของเราเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? และจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนานแค่ใหน?
............ใครเป็นต้นเหตุหรือต้นเรื่องให้ไทยของเราเป็นเช่นนี้
-----------------------------------------------
............ระบอบทักษิณที่ถูกโค่นล้ม หรือว่าระบอบอื่นใดที่มันทับซ้อนอำนาจรัฐนี้ ใช่หรือไม่?
............เป็นเรื่องที่คนไทยต้องขบคิดให้แตก และก็ตกผลึกให้ได้ ไม่เช่นนั้นเราก็ต้องทะเลาะกัน ลงมือลงไม้กันเหมือนยุคสงคราม
เหนือใต้รบกันในอเมริกา
............ประวัติศาสตร์การได้อำนาจรัฐมาครอบครองไม่ได้มาแบบหอมหวาน แต่มักเป็นความเจ็บปวดเสมอ แล้วจึงเข้าสู่ยุคสร้างบ้านแปงเมือง
-----------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น